วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ดอกไม้ประจำวันพ่อ


พุทธรักษา มีชื่อเรียกอื่นเช่น พุทธศร บัวละวงศ์ เป็นพืชในวงศ์ CANNACEAE

ชื่อสามัญ Butsarana และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Canna indica

เป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1–2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้นมีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 2–4 ซ.ม. ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูน โคนใบมีก้านใบยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10–15 ซ.ม. ยาวประมาณ 25–35 ซ.ม. ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 15–20 ซ.ม. ประกอบด้วยดอก 8–10 ดอก และมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสรรแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์


คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนามนั่นเอง


การปลูกนิยมปลูกในแปลงเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน หรือปลูกในกระถางเพื่อประดับอาคารบ้านเรือน

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

โรเบิร์ต แพททินสัน





ชื่อจริง : โรเบิร์ต โทมัส แพททินสัน (Robert Thomas-Pattinson)
ชื่อเล่น : Rob , Rpattz
วันเกิด : 13 พฤษภาคม 1986
สถานที่เกิด : ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ส่วนสูง : 6 ฟุต 1 นิ้ว ( 185 เซนติเมตร)
พี่น้อง : มีพี่สาว 2 คน
ดาราในดวงใจ : แจ็ค นิโคลสัน (Jack Nicholson)
รางวัล : นักแสดงชายยอดเยี่ยม ปี 2008 ในเทศกาลภาพยนตร์ Strasbourgจากภาพยนตร์เรื่อง How To be
โรเบิร์ต แพททินสัน เข้าสู่วงการการแสดงครั้งแรกเมื่ออายุได้ 15 ปี กับภาพยนตร์โทรทัศน์ของเยอรมัน เรื่อง The Ring of the Nibelungs หรือ Kingdom In Twilight จากนั้นก็มีผลงานตามมาอีกหลายเรื่องทั้ง ละครเวทีเรื่อง Anything Goes ภาพยนตร์เรื่อง Vanity Fair, Own Town ,Tess of the D'Urbervilles, How to Be, The Haunted Airman รวมทั้งบทเซดริค ดิคกอรี่ ในภาพยนตร์มหากาพย์เรื่องยิ่งใหญ่อย่าง Harry Potter & Goblet of Fire (แฮร์รี่พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี) และภาพยนตร์ที่จ่อคิวรอฉายอยู่อย่าง Little Ashes, The Summer House
แต่ที่ทำให้เขาโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วก็เห็นจะไม่พ้นบทบาท เอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งโลกแวมไพร์ จากผลงานเรื่องล่าสุด Twilight ที่เขาต้องฝ่าด่านนักแสดงกว่า 5000 คน ที่มาคัดบทนี้ จนได้รับเลือก และทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Twilight แล้ว ส่วนใหญ่ชื่นชมพระเอกหนุ่มคนนี้ และดูเหมือนว่าความสามารถ (บวกความหล่อ) จะบาดใจจนครองใจสาวๆ ไปทั่วโลกแล้ว ซึ่งกว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ โรเบิร์ตเองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย เพราะตอนแรกที่มีข่าวว่าเขาได้รับการคัดเลือกให้เป็นพระเอกเรื่องนี้ ก็มีทั้งเสียงสนับสนุนและต่อต้าน (ว่าเขาหล่อและดูดีเกินไป ฮิฮิ) แต่โรเบิร์ตก็ไม่หวั่น และพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

ผลงานการแสดง :

ภาพยนตร์โทรทัศน์

Ring of the Nibelungs (2004)

The Haunted Airman (2006)

The Bad Mother's Handbook (2007)

ภาพยนตร์

Vanity Fair (2004)

Harry Potter and the Goblet of Fire (2005)

How To Be (2008) Twilight (2008)
Little Ashes (2008) How to Be (2008)

Little Ashes (2008) ยังไม่ฉาย

The Summer House (2008) ยังไม่ฉาย

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วาฬเพชฌฆาต


วาฬเพชฌฆาต ( Orca, Killer Whale) รู้จักกันอีกชื่อว่า ออก้า เป็นสปีชี่ส์ที่ใหญ่ที่สุดในในวงศ์ Delphinidae ของโลมา สามารถพบเห็นได้ในมหาสมุทรทั่วโลก ตั้งแต่แถบอาร์กติกและแอนตาร์กติก จนถึงทะเลในแถบเขตร้อน
วาฬเพชฌฆาตเป็นนักล่าที่ชาญฉลาด ส่วนมากล่าปลาเป็นอาหาร ในบางสายพันธุ์จะล่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างแมวน้ำ สิงโตทะเล หรือแม้กระทั่งวาฬขนาดใหญ่ วาฬเพชฌฆาตเป็นสัตว์สังคม โดยสีณนิษฐานได้จากพฤติกรรมทางสังคมที่ซับซ้อนของมัน อย่างเช่น เทคนิคการล่า การส่งเสียงที่สามารถสื่อความหมายระหว่างกันได้
ถึงแม้ว่าวาฬเพชฌฆาตจะไม่จัดอยู่ในสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ แต่ในบางพื้นที่มันก็ได้รับความคุ้มครอง อันเนื่องมาจากการปนเปื้อนของสารพิษในน้ำทะเล การตกเป็นเหยื่อของนักล่าที่ใหญ่กว่าแล้วเพิ่มจำนวนไม่ทัน การถูกจับโดยบังเอิญระหว่างการทำประมง การสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย การถูกมนุษย์ล่า โดยส่วนมากแล้ววาฬเพชฌฆาตจะไม่ทำร้ายมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่พบว่าทำร้ายมนุษย์ อย่างเช่น ในกรณีของวาฬเพชฌฆาตในสวนน้ำ

Œil

L'œil (au pluriel les yeux) est l'organe de la vision c'est-à-dire l'organe des sens qui permet à un animal d'analyser la lumière pour pouvoir interagir avec son environnement.
Dans le monde animal, il existe au moins quarante types d'organes visuels que l'on appelle « yeux ». Cette diversité pose la question de l'origine de la perception visuelle. Les yeux les plus simples sont tout juste capables de déceler la différence entre lumière et obscurité tandis que les yeux les plus complexes, comme l'œil humain, permettent de distinguer les formes et les couleurs.
L'un des grands objectifs de la technologie contemporaine est de parvenir à fabriquer des « yeux électroniques » capables d'égaler voire de dépasser les aptitudes des yeux qui existent dans le monde vivant pour, par exemple, remplacer l'œil d'une personne qui aurait eu un accident.

อยากตาวิ้ง ระวังพิษแปลกปลอม




เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ จึงไม่น่าแปลกใจหากสาว ๆ สมัยนี้จะมีดวงตาที่เด่นเด้งชนิดที่ไม่มีใครยอมกันได้จริง ๆ แถมสมัยนี้ดวงตากลมโตนั้นก็เป็นที่นิยมมากทีเดียว




สำหรับสาว ๆ ที่มีดวงตาไม่ได้กลมโตตั้งแต่เกิดก็อาศัยการใช้เครื่องสำอางค์เป็นตัวช่วยเสริมช่วยสร้างเสน่ห์บนใบหน้าแทน ซึ่งทำให้บรรดาเครื่องสำอางค์ที่เกี่ยวข้องกับดวงตาทั้งหลายขายดีเป็นเทน้ำเทท่า


ซึ่งสิ่งที่สาว ๆ ควรระวังก็คือ ในเครื่องสำอางค์นั้นอาจจะมีจุนลินทรีย์ปะปนมาได้ เพราะก่อนหน้านี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ออกมาบอกว่า จากการ สุ่มตรวจเครื่องสำอางในตลาดทั้งที่นำเข้า และผลิตในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อายแชโดว์ ครีมเจลทารอบดวงตา มาสคาร่า ดินสอเหลวสำหรับเขียนรอบดวงตา หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา รวม 108 ตัวอย่างพบกว่า 7 ตัวอย่างที่มีแบคทีเรีย ยีสต์ และราปนเปื้อนซึ่งในเชื้อจุนลินทรีย์นี้อาจจะทำให้เกิดติดเชื้อเรื้อรัง เกิดการอักเสบและลุกลามถึงตาบอดได้




และอีกสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือ การต่อขนตาปลอม ซึ่งเดี๋ยวนี้นั้นมีร้านให้บริการรับต่อขนตาปลอมอยู่มากมาย ซึ่งก่อนเข้าใช้บริการสาว ๆ จำเป็นต้องเลือกร้านให้ดี ๆ โดยหลัก ๆ นั้นก็ต้องเลือกร้านที่น่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ สะอาดถูกหลักอนามัย และที่สำคัญหากคุณเคยใช้บริการนี้มาก่อน แล้วเกิดแพ้กาวแบบไหน ยี่ห้ออะไรก็ต้องบอกช่างล่วงหน้าด้วย




ทั้งนี้เนื่องบริเวณที่คุณไปเสริมความงามนั้นคือ ดวงตา ซึ่งมีความสำคัญมาก ๆ เพราะหากช่างไม่สะอาดหรือหากคุณแพ้สารเคมีในร้านแล้วอาจจะทำให้ตาอักเสบ และเกิดการติดเชื้อ จนอาจจะรุนแรงถึงขั้นทำให้ตาบอดได้


ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางค์ หรือเข้ารับบริการเสริมความงามทุกครั้งสาว ๆ ต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบนะคะ เพราะไม่เช่นนั้นผลเสียที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้คุณเสียใจไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ค่ะ

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Pomme

La pomme est le fruit du pommier et plus particulièrement du pommier domestique, arbre fruitier largement cultivé. L'étude de la culture des pommes constitue une partie de la pomologie, la pomologie englobant tous les fruits à pépins. La pomme est comestible et a un goût sucré ou acidulé selon les variétés.
Généralement, on distingue trois types de pommes alimentaires : les pommes à cidre, les pommes de table ou pommes à couteau et les pommes à cuire qui appartiennent à un des deux premiers types mais supportent bien la cuisson. Ces trois types sont issus de l'espèce Malus pumila qui compte plus de 20 000 variétés à travers le monde.
Plusieurs boissons sont élaborées à base de pommes, en particulier le jus de pomme sans fermentation, sucré et non alcoolisé, et le cidre produit à partir de la fermentation de ce jus.

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551

♥..la connaissance..♥ - La ville


animé (adj.) คึกคัก,มีชีวิตชีวา
rapide (adv.) รวดเร็ว,ว่องไว,ทันควัน,สูงชัน
le gens (n.m.) คน
se connaître (v.) รู้จักกัน
l'activité (n.m.) กิจกรรม
distinguer (v.) สังเกตเห็น,ทำให้เห็นอย่างชัดแจ้ง,เลือที่รักมักที่ชัง,แสดงลักษณะ
le centre de la ville (n.m.) ใจกลางเมือง
la banlieue (n.f.) ชานเมือง
composer (v.) ประกอบแต่ง,เรียบเรียง,ทำขึ้น
plusieurs (adj.) หลาย,ต่างๆ นานา
quartier (n.m.) ย่าน
un immeuble (n.m.) ตึก,อาคาร
un grand magasin (n.m.) ห้างสรรพสินค้า
des boutiques (n.f.) ร้านค้า
une cathédrale (n.f.) โบสถ์
un jardin public (n.m.) สวนสาธารณะ
un musée (n.m.) พิพิทธภัณฑ์
une rue (n.f.) ถนน
une avenue (n.f.) ถนนหลวง
un théâtre (n.m.) โรงภาพยนต์
une poste (n.f.) ที่ทำการไปรษณีย์

The Weather Forecast, Part 1

เริ่มต้นด้วยคำว่า การพยากรณ์อากาศกันก่อนซึ่งภาษาฝรั่งเขาใช้ว่า The weather forecast การที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะคำว่า forecast คือการคาดคะเน มันมาจากการรวมตัวกันของคำว่า fore และ cast หมายถึงคำนวณไว้ก่อนซึ่งก็คือ การคาดการณ์ คำนี้อ่านว่า ฟอร์ แคสท์

นักอุตุนิยมวิทยานั้น ฝรั่งคนเรียกว่า meteorologist อ่านว่า มีเทียอาเลอจิลท์ และวิชาพยากรณ์อากาศ หรืออุตุนิยมวิทยานั้นฝรั่งเขาก็ใช้ว่า meteorology มีเทียอาเลอจี้ ส่วนคำที่ใช้บรรยายดินฟ้าอากาศ เราสามารถจำได้จากรูปคำนามของตัวมันเอง เช่น ฝนฝรั่งเขาเรียกว่า rain ลมนั้นก็คือ wind

แล้วเราก็จัดการเอา Y ซึ่งหมายถึง เต็มไปด้วย มาไล่เติมไป ก็จะได้สิ่งที่เจ้าต้องการโดยไม่ต้องไปท่องให้เหนื่อย

- rain + y = rainy = ฝนซุก
- sun + ny = sunny = แดดจัด
- fog + gy = foggy = หมอกหนา
- snow + y = snowy = หิมะเยอะ
- cloud + y = cloudy = เมฆมาก
- storm + y = stormy = พายุแรง
- wind + y = windy = ลมแรง
- shower + y = showery = ฝนเยอะ

คำว่า scattered มาจากคำกริยาว่า to scatter แต่ถูกนำมาเติม –ed เข้า เพราะเขาต้องการหมายถึง “ที่ถูกทำให้กระจัดกระจาย แปลว่า “ที่กระจัดกระจาย” เช่น Scattered showers ซึ่งก็คือที่มีฝนกระจาย

ส่วนคำว่า showers นั้น จะให้ดีต้องนึกถึงเวลาที่อาบน้ำด้วยฝักบัวที่บ้าน ก็ให้นึกถึงสภาพนั้นเอาไว้ ส่วนคำว่า thundershowers ก็จะหมายถึง “ฝนฟ้าคะนอง” ในภาษาไทยเรา ยังมีอีกคำหนึ่งที่เขาชอบใช้ในการบรรยายฝนที่ตกโดยทั่วไปนั่นคือ widespread คำนี้ก็เห็นภาพอีกเช่นกัน เพราะมันมาจากการรวมตัวกันของคำว่า wide ซึ่งหมายถึง “กว้าง” และ spread ซึ่งแปลว่า “แผ่ออกไป” เช่น widespread showers ก็จะหมายถึง สภาพฝนตกโดยทั่วไป

ยังมีอีกหนึ่งคำที่ใช้กันบ่อยก็คือ isolated คำนี้ออกเสียงว่า ไอเสอะเลเทิ่ด ซึ่งหมายถึง “ที่เกิดขึ้นเป็นแห่งๆ เป็นหย่อมๆ” คำนี้มาจากกริยาคือ isolate อันหมายถึง “แยกตัวออกไป” ซึ่งถ้าใครโดนคำนี้เข้าให้ก็จะหมายถึง “ถูกแยกตัวออกไปจากกลุ่ม” เช่น Peter is isolated from his friends. ซึ่งจะหมายถึงว่าคุณ Peter นั้นถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครคบด้วย และถ้านำไปวางไว้หน้าคำนามก็จะมีความหมายว่า ที่ไกลออกไปจากผู้คน เช่น isolated villages ก็คือหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไป แบบชนิดที่เขาไม่ไปกัน และถ้านำไปบรรยายความรู้สึกของคนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใด ก็จะมีความหมายว่า “อยู่อย่างโดดเดี่ยว” ซึ่งก็มีความรู้สึกของความอ้างว้างอยู่ เช่น I feel isolated ซึ่งหมายถึงโดนโดดเดี่ยว คำนี้นั้นสามารถนำมาใช้ในความหมายอื่นอีกได้เช่น Hey! We should isolate David because he is selfish. หมายความว่า “เฮ๊ย พรรคพวก เลิกคบไอ้เดวิด มันเถอะเพราะมันเห็นแก่ตัว” เป็นต้น และในทำนองกลับกัน เมื่อคุณรู้สึกเอียนกับสังคมอันน่าเฟะ คุณก็พูดได้ว่า “ I want to isolate myself from the society ” หมายความว่า “ฉันอยากจะแยกตัวไปจากสังคมจะตาย”

ส่วนคำที่ปรากฏในข่าวว่า isolated heavy rainfall ก็จะหมายถึงว่า ฝนตกหนักเป็นบางแห่ง ทีนี้คำว่า rain กับ rainfall นั้น มันแตกต่างกันตรงไหน อันที่จริงก็ไม่ต่างกันมาก

คำว่า rain นั้นหมายถึง ฝน ส่วนคำว่า rainfall นั้นไปเน้นที่ปริมาณฝนที่พื้นที่นั้นๆ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ปาร์ค จองซู



ชื่อ-ปารค์ จองซูเกิด-1 กรกฏาคม 1983ศาสนา-คริสต์
ราศี-กรกฎกรุ๊ปเลือด-เอสูง-179น้ำหนัก-60

นิสัยส่วนตัว-ร่าเริงแจ่มใส ความสามารถพิเศษ-ร้องเพลง ตอบคำถามงานอดิเรก-แต่งเพลง ร้องดพลง ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ตฤดูที่ชอบ-หนาวเหตุผลที่คุณชอบฤดูหนาว-มีเทศกาลเยอะความประทับใจ-ทำสิ่งที่ฝันเป็นจริงคืออะไร-เป็นนักร้องอาหารที่ชอบ-ทุกอย่างที่ชอบคุณชอบเรียกตัวเองว่าอะไร-ทึกกี้ครับ กับไก่น้อย เพราะว่าหน้าผมเหมือนไก่เกิดชาติหน้าอย่างเป็นอะไร-นกนางแอ่น เพราะเป็นนกที่สวยและบินไปทั่วที่อยากไปถ้าย้อนอดีตกลับไปได้อยากไปไหน-1975ถ้าไปอนาคตได้อยากไปยุคไหน-40 ปี ข้างหน้า ทำไมถึงอยากไปอีก 40 ข้างหน้า-อยากรู้ว่า superjunior ในตอนนั้น จะเป็นยังไง
มีเพื่อนสนิทอยู่กี่คน-มากกว่า 10 คนอนาคต-เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆถ้าสมสุติว่าคุณไปอยู่ที่ไหนซักแห่งโดยที่พูดภาษานั้นไม่ได้คุณจะทำอย่างไร-ตั้งสติ บอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งยอมแพ้ความรักครั้งแรก-ยังไม่มีครับ
ชอบผู้หญิงแบบไหนกัน-น่ารัก ใสซื่อบริสุทธิ์ สูง 163 ยิ้มตาจะเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว มีความมั่นใจ ฉลาด หุ่นดีถ้าบินได้เหมือนนกนางแอ่นคุณอยากไปไหน-ไปต่างประเทศ ที่ที่อยากไป
เรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิต-เมื่อตอนอายุ 17 ทักคนที่หน้าตาเหมือนเพื่อนผม แต่ทักผิดคน อายมาก ตอนนั้นผมอยู่ในที่ๆมีคนเยอะและเค้าก็มองผมด้วย ผมอายมากเวลาคุณเสียใจคุณจะทำอย่างไร-ผมอาจจะแอบไปร้องไห้ระบายคนเดียว เพราะผมไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าใครเวลาคุณดีใจล่ะ-ผมจะกระโดดโลดเต้นอย่างคึกคักคุณชอบใส่เสื้อผ้ายี่ห้ออะไร-ทุกยี่ห้อแหล่ะเสื้อผ้าที่คุณชอบใส่ล่ะ-เชิตยึดหนา ชุดที่ใส่สบาย เช่น ชุดที่ใส่สไตล์ไปเที่ยวทะเลอนาคตอยากแต่งงานตอนอายุเท่าไหร่-33-34 ขึ้นอยากมีลูกกี่คนในอนาคต-2 คน ชาย 1 หญิง 1ชอบวันเวลาไหนมากที่สุด-วันที่ผมชอบก็คือเวลากลางคืนที่มีท้องฟ้า ดวงดาว พระจันทร์ที่สวยงาม ลมพัดเย็นสบายๆ ผมนอนดูอยู่บนผืนหญ้า มีความสุขมากขนมที่ชอบ-เค้กครีม คุ๊กกี้ ตอนนี้คุณมีแฟนหรือยัง-ยังไม่มีหรอกครับ ตอนนี้ผมกำลังรับสมัครเป็นแฟนผมอยู่ครับ
คุณชอบความรักแบบไหน-รักหวานโรแมนติกคุณอยากจะบอกอะไรกับแฟนคุณถ้าคุณมีแฟน-รักผมมากๆเหมือนที่ผมรักคุณนะคุณอยากจะให้อะไรกับแฟนคลับคุณที่พวกเค้าติดตามผลงานมา-มอบเสียงเพลง เสียงร้อง และความรักของผมให้ลักษณะเด่นประจำตัวคุณ-รอยยิ้ม ที่มีลักยิ้มคู่ และยิ้มลึกๆของผมปกติผมไม่ค่อยยิ้มเลยนะอยากจะฝากบอกอะไรแฟนๆคุณหรือปล่าว-ก็ช่วยติดตามผลงานของ superjunior ด้วยนะครับ ทุกผลงานของพวกเรา ผมก็ขอคุณแฟนๆด้วยนะครับที่ชอบและติดตามผลงานของเรา

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดาและจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอก ท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลก ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือ เดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลา กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใด ๆ ของเรือ หรือ เครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม- เบอร์มิวดา ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาติต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า หาสาเหตุ แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่
เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทาง เป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบและ แจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใด ๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไป อย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าวทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบิน มีเวลา พอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติ มายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่าง ๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุน ปั่น จะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้ง ๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้
อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดายังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการ สูญหาย หน่วยยามฝั่งที่ เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความ ล้มเหลว ที่จะพบพยานหลักฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุด กองทัพเรือสหรัฐ ก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี ้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใด ๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้ง ๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยายามจะปกปิด เรื่อราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่าง ๆ และเชื่อว่า จะต้องมี แรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีข่าวรายงานว่า มี นักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือ ฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดี จวบจน กระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใด ที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับและ ความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ไม่ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้
มีผู้ให้ความคิดเห็นและคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป บ้างก ็ว่าเนื่องมา จากความปั่นป่วน ของท้องน้ำ ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด จากแผ่นดินไหว ใต้มหาสมุทร หรือเกิดจากอุกาบาตเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น ได้พุงเข้าชนเครื่องบิน และทำให้เกิดระเบิดขึ้นมา รังควานเป็นครั้งเป็นคราว สำหรับนักวิทยาศาสตร์ ให้คำอธิบาย ที่อาจ เป็นไปได้ว่า เครื่องบินและเรือเหล่านั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปยังอีกมิติหนึ่ง ด้วย การกระทำของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาสูง เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง อีก ทฤษฏีหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ได้ให้เหตุผลว่า เครื่องบินอาจพุ่งดิ่งลงสู่ทะเล เพราะแรงดึงดูด ของ สนามแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือแรงโน้มถ่วงของโลก ที่เกิดจากฝีมือการกระทำของสิ่งมีชีวิต ที่มีปัญญาสูง เมื่อเครืองบิน นั้นร่อนลงสู่พื้นน้ำนักบินและลูกเรือก็จะถูกจับตัวโดย มนุษย์จากจานบิน (UFO) ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์อีกพวกหนึ่ง ที่ไม่คุ้นเคยกับชาวโลก ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ที่เหลือรอดมีชีวิต สืบต่อกันมาจากสงครามนิวเคลียร์มหาประลัย ที่เกิดขึ้น ในกาลก่อน หรือเป็นมนุษย์จากอวกาศนอกโลก หรือมนุษย์ในอนาคต ที่ต้องการ รวบรวมตัวอย่างการดำรงชีวิตของ ชาวโลก เพื่อการศึกษาค้นคว้า หรือป้องกันภัย ที่จะเกิด จากอาวุธนิวเคลียร์ ในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่ง
มีอยู่หลายกรณีเกี่ยวกับการสืบสวนความลึกลับของเรื่องนี้ ที่เจ้าหน้าที่มุ่งตรงใน ประเด็นซึ่งเกี่ยวกับท้องทะเล โดยเฉพาะเพราะแม้ว่า เราจะอยู่ในสมัยที่กำลังก้าวเข้าสู่ อวกาศก็ตาม แต่ความลึกลับของท้องทะเล ยังคงเป็นสิ่งมืดมน สำหรับพวกชาวโลกอยู่ ก่อน อื่นเราจะต้องรับความจริงที่ว่า 3 ใน 5 ส่วนของพื้นใต้มหาสมุทร เรายังรู้จักกันน้อยกว่า ปล่องภูเขาไฟในดวงจันทร์ หรือพื้นราบบนดาวอังคารเสียอีก เรามีแต่แผนที่ทางทะเล ที่เขียนขึ้นอย่างหยาบ ๆ จากการ สำรวจโดยใช้เสียงสะท้อนของโซน่า ใช้เครื่องดำน้ำลึก หรือเรือดำน้ำที่มีเขตจำกัดสำรวจได้เฉพาะพื้นน้ำที่ไม่ลึกนัก เท่านั้น และความประสงค์ ส่วนใหญ่ จะมุ่งเฉพาะการค้นหาแหล่งน้ำมัน และทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้นเอง เรายัง ไม่อาจจะทราบได้ว่า ในส่วนก้นบึ้งที่ลึกที่สุด มีอะไรที่จะสร้างความประหลาดใจ อย่างใหญ่หลวงให้แก่พวกเราบ้าง พื้นทะเลลึกและหุบเหวใต้ท้องทะเล อาจจะเป็นที่อาศัย ของสิ่งมีชีวิตที่มีมันสมองและฉลาดเกินกว่าเราจะคาดคิด ก็เป็นได้
ความลึกลับมหัศจรรย์ ใต้ท้องทะเล หาได้หยุดยั้งเพียงเท่าที่กล่าวมาแล้วไม่ นิยายปรัมปรา เล่าลือสืบต่อเนื่องกันมา เกี่ยวกับพิภพ และสัตว์ประหลาดใต้ท้องทะเล โดย ไม่มีวันจบสิ้น และยิ่งการค้นพบหลักฐานซากเมืองโบราณ ใต้พื้นน้ำ ลึกเป็นพัน ๆ ฟุต ในหลายส่วนของพื้นมหาสมุทรทั่วโลก ยิ่งทำให้เรื่องพิลึกกึกกือได้รับความสนใจจาก ความอยากรู้ อยากเห็นของชาวโลกยิ่งขึ้น เราเคยทราบวัฒนธรรม และความรุ่งโรจน์ ของ ชาวเมืองแอตแลนติส โบราณจากบันทึกของ มหาปราชญ์เพลโตเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันนักโบราณคดีและนักภูมิศาสตร์ ต่างเชื่อมั่นว่าอาณาจักรแอตแลนติก อันเคยรุ่งเรือง ด้วยอารยธรรมมาก่อนนั้นมีจริง ขณะนี้เมืองทั้งเมืองได้จมหายอยู่ใต้พื้นมหาสมุทร แอตแลนติคที่ใดที่หนึ่ง
อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่โคลัมบัสเมื่อห้าร้อยปีก่อน คือส่วนหนึ่งของ กระแสน้ำอุ่น กัลฟ์ตรีม ที่เรียกกันว่าสายน้ำขาว พื้นน้ำบริเวณนี้จะมองเห็นสุกใส ด้วย แสงเรืองเป็นทางยาว ระยะทางเป็นไมล์ ๆ ใกล้ ๆ กับ บาฮามัส ซึ่งในปัจจุบันแสงเรือง บนพื้นน้ำเหล่านี้ก็ยังคงปรากฏอยู่การตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ว่าเกิดการเรืองแสงของจุลินทรีย์ในน้ำที่ถูกฝูงปลารบกวนหรือเป็นแสงเรืองที่เกิดจาก กัมมันตภาพรังสี หรืออาจเป็น การเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาใต้ท้องทะเลกันแน่ และยิ่งกว่านั้น มีเหตุผลพอจะทำให้เชื่อได้ว่า พื้นที่ใต้มหาสมุทรแถวนั้นอาจเป็นที่ตั้งฐาน ใต้น้ำ ของชาวนอกโลก ที่มาศึกษาชีวิตความเป็นไปในโลกของเราก็ได้ และแสงเรือง ที่เกิดขึ้น อาจเป็นสัญญาณให้ยานอวกาศของพวกเขาทราบตำแหน่งที่ตั้งและมองเห็นได้ ชัดเจน ก่อนที่ยานอวกาศจะเข้าสู่บรรยากาศโลก เหตุผลต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ท่านอย่าเพิ่ง เชื่อปักใจ ไปกับอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะตราบใดที่เรายังไม่อาจพิสูจน์ได้แน่ชัด ปรากฏการณ์ประหลากชองสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังเป็นเรื่องลึกลับ ที่มืดมนสำหรับเราอยู่
หลังจากได้อ่านแล้ว ทุกๆคนคิดว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีจริงรึเปล่า

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

ผลวิจัยใหม่ มือถือ กับ มะเร็ง สมอง


เตือนภัยมัจจุราชไร้สายต่อเด็ก ใช้มือถือเสี่ยงมะเร็งสมอง 5 เท่า


เด็กที่ใช้โทรศัพท์มือถือมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นห้าเท่าที่จะเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรง

อินดิเพนเดนท์ - ผลวิจัยใหม่จากสวีเดนเตือนเด็กและวัยรุ่นเสี่ยงเพิ่ม 5 เท่าที่จะเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงจากการใช้โทรศัพท์มือถือ

นักวิจัย ระบุว่า เด็กมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากสมองและระบบประสาทยังพัฒนาไม่เต็มที่ นอกจากนี้ ความที่ศรีษะมีขนาดเล็กกว่าและกะโหลกบางกว่า ยังทำให้คลื่นพลังงานจากโทรศัพท์มือถือสามารถทะลุทะลวงเข้าสู่สมองเด็กได้ มากกว่า

งานวิจัยจากสวีเดนที่เผยแพร่ต่อที่ประชุมระหว่างประเทศว่า ด้วยโทรศัพท์มือถือและสุขภาพของผู้ใช้ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่อังกฤษเมื่อ เร็วๆ นี้ มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งว่าด้วยความ เสี่ยงจากการแพร่กระจายคลื่นพลังงานที่เป็นต้นเหตุของมะเร็ง

ศาสตราจารย์ เลนนาร์ต ฮาร์เดลล์ จากยูนิเวอร์ซิตี้ ฮอสปิตอลในโอเรโบร สวีเดน ผู้นำการวิจัย แถลงต่อที่ประชุมที่จัดโดยเรดิเอชัน รีเสิร์ช ทรัสต์ว่า ผู้ ที่เริ่มใช้โทรศัพท์มือถือก่อนอายุ 20 ปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 5 เท่าที่จะเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรง (glioma) หรือมะเร็งที่เกิดที่เซลล์ค้ำจุนระบบประสาท (glial cells) ขณะที่ความเสี่ยงของโรคนี้ต่อเด็กจากการใช้โทรศัพท์ไร้สายในบ้านสูงถึงเกือบ 4 เท่า

สำหรับ ผู้ที่เริ่มใช้โทรศัพท์ในช่วงเด็กหรือวัยรุ่นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 5 เท่าที่จะเป็นมะเร็งบริเวณส่วนต่อของหูกับสมอง (acoustic neuromas) ซึ่งแม้ไม่เป็นอันตราย แต่การตัดเนื้องอกนี้จากเส้นประสาทรับเสียงอาจทำให้เกิดอาการหูตึงได้

ในทางกลับกัน คน ที่ใช้โทรศัพท์มือถือหลังอายุ 20 ปีมีโอกาสเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรง เพียง 50% เท่านั้น และแค่ 2 เท่าสำหรับมะเร็งบริเวณส่วนต่อของหูกับสมอง

ศาสตราจารย์ ฮาร์เดลล์ กล่าวว่า ผลศึกษานี้ถือเป็นสัญญาณอันตราย และว่าเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือ ยกเว้นเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน ส่วน
วัยรุ่นควรใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรีหรือชุดหูฟัง และควรใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อพิมพ์ข้อความเป็นหลัก

สำหรับ คนอายุ 20 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงจะลดลงเนื่องจากสมองมีการพัฒนาเต็มที่แล้ว ศาสตราจารย์ฮาร์เดลล์ยังยอมรับว่า อันตรายต่อเด็กและวัยรุ่นอาจมีมากกว่าที่พบในการศึกษานี้ เนื่องจากการศึกษานี้ไม่ได้แสดงผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือระยะยาว ขณะที่มะเร็งส่วนใหญ่ใช้เวลานานเป็น 10 ปีในการก่อตัว หรือยาวนานกว่าช่วงเวลาที่โทรศัพท์มือถือเริ่มวางขายในตลาด

งานวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ผู้ใหญ่ ที่ใช้อุปกรณ์สื่อสารชนิดนี้นานกว่า 10 ปีมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงและมะเร็งบริเวณส่วน ต่อของหูกับสมอง อย่างไรก็ดี ศาสตราจารย์ฮาร์เดลล์ยอมรับว่า ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นระยะเวลา ยาวนานเพิ่มความเสี่ยงสำหรับคนที่เริ่มต้นใช้ในวัยรุ่นอย่างไร จึงควรทำการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

เดวิด คาร์เพนเตอร์ คณบดีคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยรัฐนิวยอร์ก ที่เข้าร่วมประชุมด้วย เห็นพ้องว่า เด็กสมัยนี้ใช้โทรศัพท์มือถือกันเกร่อไปหมด ทำให้ในอนาคตสังคมอาจเผชิญวิกฤตสุขภาพจากโรคมะเร็งสมองอันเป็นผลจากการใช้ โทรศัพท์มือถือ





วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

GAT PAT คืออะไร สอบอะไรบ้าง?? มาดูกัน GAT PAT 2553

GAT PAT ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย ปี 2553

นื่องจากสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงการจัดสอบความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test หรือ GAT) และความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ (Professional A Aptitude Test หรือ PAT) เพื่อใช้เป็นคะแนนในการนำไปสอบระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่นส์กลางว่า ตามที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติว่าการสอบแอดมิชชั่นส์ปี 2553 นั้นจะใช้สัดส่วนคะแนนดังนี้

1.องค์ประกอบในการยื่นคะแนนเข้ามาหาวิทยาลัย ปี 2553 ทปอ. จะใช้องค์ประกอบต่อไปนี้ในการยื่น คะแนนเข้ามหาวิทยาลัย 1) GPAX 6 ภาคเรียน 20 %
2) O-NET (8 กลุ่มสาระ) 30 %
3) GAT 10-50 %
4) PAT 0-40 %

**หมายเหตุ
1. GPAX คือ ผลการเรียนเฉลี่ย สะสม 6 ภาคเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียน รู้
2. GAT คือ General Aptitude Test ความถนัดทั่วไป
3. PAT คือ Professional Aptitude Test ความถนัดเฉพาะ วิชาชีพ


รายละเอียดเกี่ยว กับ GAT 1. เนื้อหา - การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50% - การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50% 2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย - คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง - ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair - เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก - มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ 3. สอบปีละหลายครั้ง - คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)
รายละเอียดเกี่ยว กับ PAT 1. PAT มี 6 ชุด คือ PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์ เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์ เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์ เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์ เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ ความคิดสร้าง สรรค์ ฯลฯ "อย่างไรก็ตาม มีข้อเรียกร้องจากสมาคมฝรั่งเศสที่เสนอขอให้ ทปอ.จัดสอบเรื่องภาษาที่ 2 ด้วย ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และญี่ปุ่น เพื่อเป็นการวัดคุณภาพของเด็ก โดยจะขอให้เพิ่มเป็น PAT 7 และย่อยลงไปเป็น 7.1 , 7.2 ตามลำดับ แต่ ทปอ.เสนอว่าให้ทางสมาคมจัดสอบล่วงหน้าก่อนได้และให้กำหนดในเงื่อนไขแอดมิชชั่นว่าผู้ที่จะสอบในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาเหล่านี้จะต้องผ่านการสอนวัดความรู้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการมาเพิ่มเป็น PAT 7 สทศ.ก็ต้องมาทำการทบทวน PAT ทั้ง 6 ใหม่ ซึ่งก็จะยุ่งยากอีก"ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวและว่า สำหรับข้อสอบ PAT นั้นได้เชิญอาจารย์ทีเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาเป็นผู้ออกข้อสอบ โดย สทศ.จะอธิบายความต้องการ วัตถุประสงค์การออกให้ทราบ และเมื่ออาจารย์ออกข้อสอบเสร็จแล้วก้จะนำเข้าคลังข้อสอบในรอบแรกก่อนนำมาเข้ากระบวนการกลั่นกรองเพื่อเข้าคลังข้อสอบของ สทศ. ใหม่อีกครั้ง2. ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย - คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง - เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก - มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ 3. การจัดสอบ จะจัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง - คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด
ขณะนี้ ทปอ.ได้มอบหมายให้ สทศ.เป็นผู้จัดสอบ GAT และ PAT ซึ่งในส่วนของ GAT มีการทดลองรูปแบบการสอบแล้ว โดยจะใช้การสอบทั้งแบบปรนัยและอัตนัย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 300 คะแนน โดยนักเรียนสามารถสอบได้ 2-3 ครั้ง และเลือกคะแนนสอบครั้งที่ดีที่สุดไปใช้ โดยคะแนนจะเก็บไว้ได้ 2 ปี แต่เด็กต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสอบเอง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มสอบได้ประมาณเดือนตุลาคม 2551 หรืออาจต้นปี 2552 เพื่อให้ใช้ทันแอดมิชชั่นปี 2553
“สทศ.ต้องเตรียมเรื่องการออกข้อสอบ โดยได้ขอความร่วมมือจากอาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วยออกข้อสอบให้ นอกจากนี้ สทศ. ยังจะจัดสอบ B-NET ซึ่งเป็นแบบทดสอบความรู้ 5 ภาคเรียนของ ม.ปลาย เพื่อให้มหาวิทยาลัยนำไปใช้ในการรับตรง ซึ่งการที่ สทศ. ต้องจัดสอบ B-NET เพราะไม่ต้องการให้เด็กวิ่งรอกสอบหลายที่” ผอ.สทศ. กล่าว.

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

7 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับผิว

ความเชื่อผิด ๆ ที่ 1 การใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้นจะทำให้ได้ผลดียิ่งขึ้นความจริง : “จากผลพิสูจน์ส่วนใหญ่ การประโคมครีมบำรุงต่าง ๆ เข้าไปมาก ๆ แค่จะทำให้คุณต้องไปที่คลินิกรักษาผิวเร็วขึ้นเท่านั้น” น.พ.เคนเน็ท เบีย ผู้วชาญด้านโรคผิวหนังจากปาล์มบีช ในฟลอริดากล่าว “ทุกอย่างที่ประกอบไปด้วยส่วนผสม จะทำให้เกิดการระคายเคืองของผิว ถ้าคุณใช้มันมากเกินไป” แต่ส่วนผสมที่ได้ผลมากที่สุดคือ วิตามินซี เรตินอล และกรดอัลฟาไฮดรอคไซต์ ซึ่งทำให้ผิวนุ่มขึ้นและช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ และเบต้าไฮดรอคไซต์ (คล้ายสารซาลิไซลิค Salicylic) และเบนซอยเปออ็อคไซด์ ซึ่งจะช่วยทำให้ริ้วรอยหายไป ถ้าคุณใช้อะไรก็ตามที่มีส่วนประกอบของสารเหล่านี้ ให้ใช้แค่พอประมาณเท่านั้น และใช้บริเวณที่จำเป็น เช่น ถ้าคุณใช้ครีมทาใต้ตาก็แค่แตะเนื้อครีมให้เท่า ๆ กับเม็ดถั่วเม็ดหนึ่งเท่านั้นความเชื่อผิด ๆ ที่ 2 โทนเนอร์เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ (ขาดไม่ได้)ความจริง : “90% ไม่ควรจะใช้โทนเนอร์” ราเนลล่า เฮิร์ช ผู้วชาญด้านโคผิวหนังจาดแคมบริดจ์ ในแมชชาซูเซจ กล่าว “ในสถิติส่วนใหญ่ โทนเนอร์แค่ขัดความมันบนใบหน้าออกจนหมดและทำให้หน้านุ่ม” ดังนั้นแค่ล้างหน้าธรรมดาก็เพียงพอสำหรับการขจัดสิ่งสกปรกออกจากใบหน้า แต่ถ้ายังสงสัยเกี่ยวกับคราบดำ ๆ ที่เกิดขึ้นบนก้อนสำลีหลังจากเช็ดหน้า สั่งนั้นไม่ใช่สิ่งสกปรกแต่เป็นน้ำมันบำรุงผิวหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อกระทบกับอากาศ ดังนั้นผิวแบบไหนจึงควรจะใช้โทนเนอร์? แค่กลุ่มที่มีใบหน้ามันมาก ๆ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับสิวบนใบหน้ามาก ๆ และถ้าคุณอยู่ในกลุ่มนี้ลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์และชาลีไซลิค ความเชื่อผิด ๆ ที่ 3 ครีมกันแดดมีส่วนผสมของ SPF ยิ่งมีมากเท่าไร ยิ่งช่วยปกป้องคุณจากแสงแดดได้มากเท่านั้นความจริง : ถ้าการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีค่า SPF ที่ 30 ควบคู่ไปกับครีมรองพื้นที่มีค่า SPF ที่15 และตบท้ายด้วยแป้งพัฟที่มีค่า SPF ที่ 10 คุณอาจจะคิดว่าถ้ารวมทั้งหมดแล้วเท่ากับ 55 ใช่ไหม? คำตอบคือไม่ใช่ ระหว่างที่คุณกำลังปลื้มกับการคิดตัวเลขจากค่า SPF ในการปกป้องคุณจากแสงแดด มันอาจจะโชคไม่ดีนักที่ค่า SPF ไม่สามารถเอามารวมกันได้ ดังนั้นถ้าคุณทาผิวตามชั้นของ SPF คุณก็อาจจะได้แค่ปกป้องผิวของคุณ จากตัวเลขสูงสุดของผลิตภัณฑ์ที่คุณได้ทาลงไป จากกรณีตัวอย่างคือ ค่า SPF 30+15+10 คุณก็จะได้ SPF ที่ 30 คือค่าสูงสุดเท่านั้นความเชื่อผิด ๆ ที่ 4 คุณอาจจะเสพลิปบาล์มรสโปรดของคุณได้ความจริง : ไม่มีทฤษฏีไหนบอกว่าส่วนประกอบของลิปบาล์มจะยิ่งทำให้ริมฝีปากของคุณแห้งมากขึ้น “ลิปบาล์มจะช่วยทำให้ริมฝีปากของคุณดูน่าสัมผัสและนุ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงพยายามเติมมันบ่อย ๆ ทุกครั้งที่รู้สึกว่ามันถูกลบออก” ผู้วชาญทางด้านโรคผิวหนัง โดริส เด จากนิวยอร์ค กล่าว “แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เราเสพติดลิปบาล์ม” เรื่องจริงคือ ลิปบาล์มจะหมดไปบ่อย ๆ จากการเลียปาก “เมื่อความชุ่มชื้นหายไป ร่างกายจะทำให้ชุ่มชื้นกลับมาจนกลายเป็นนิสัย การเลียปากคือความต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นกลับคืนมา” น.พ. เบีย อธิบาย ดังนั้นการหยุดการเลียริมฝีปากและควรเริ่มต้นด้วยการทาครีมคอติโซนบนริมฝีปากคุณ และทาทับด้วยวาสลีน ทำอย่างนี้ 1 อาทิตย์ จากนั้นก็เริ่มใช้ลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของวาสลีน กลีเซอรีน หรือน้ำมันแร่ที่ทำให้ลิปบาล์มไม่หลุดออกง่าย ๆ และไม่ทำให้ริมฝีปากเกิดการระคายเคืองความเชื่อผิด ๆ ที่ 5 คุณจะไม่เห็นผล ถ้าไม่ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวเป็นยี่ห้อเดียวกันทั้งหมดความจริง : นี่เป็นคำตอบที่พนักงานขายบอกคุณก่อนจะถามถึงบัตรเครดิตของคุณ แต่คุณอาจจะช่วยปกป้องผิวของคุณได้มากยิ่งขึ้น โดยการเลือกผลิตภัณฑ์จากหลาย ๆ ยี่ห้อ “มันมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากบริษัทดี ๆ อีกมากมาย ไม่มีใครสามารถครองตลาดได้คนเดียว เดวิด แบงค์ ผู้วชาญด้านโรคผิวหนังจาก เมาท์ดิสโก ในนิวยอร์ค กล่าว “บางบริษัทอาจะผลิตมอยเจอไรเซอร์ได้ยอดเยี่ยมมาก แต่อีกที่หนึ่งอาจจะผลิตครีมล้างหน้าที่มีประสิทธิภาพเจ๋งสุด ๆ แต่คุณควรหาสิ่งที่เหมาะกับคุณที่สุดและคละกันก็ได้” ดังนั้น สะสมผลิตภัณฑ์ตัวอย่างต่าง ๆ ไว้ เพื่อที่คุณจะได้ทดลองหลาย ๆ แบบหลาย ๆ ยี่ห้อ โดยไม่ต้องเปลืองเงินความเชื่อผิด ๆ ที่ 6 ครีมทาตาใช้ครีมอื่นแทนไม่ได้ความจริง : ผิวหนังรอบ ๆ ตาเป็นส่วนที่บางที่สุดในร่างกายคุณ ดังนั้นมันก็ต้องการความพิเศษมากกว่าส่วนอื่น แต่มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเปลืองเงินเพิ่มขึ้นในการซื้อกระปุกครีมสำหรับทาตา “ถ้าคุณใช้ครีมบำรุงหน้าที่มีส่วนประกอบของน้ำมาก ๆ มันก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะไม่ใช้มันกับตาของคุณ” น.พ. แบงค์ กล่าว “ถ้ามีคุณก็ไม่ต้องซื้อครีมทาตาให้สิ้นเปลือง” และในการหลีกเลี่ยงปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมา เช่น การแพ้หรือระคายเคือง ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า มอยส์เจอร์ไรเซอร์ของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะมันเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้ผิวรอบตาเกิดการระคายเคือง และถ้ามันมีส่วนผสมของสารป้องกันรังสีจากแสงแดดอย่าง ซิงค์ออกไซด์และไทเทเนียมไดออกไซด์ สารเหล่านี้แทบจะไม่ทำให้ตาระคายเคืองได้เท่าสารเคมีอย่าง avobenson และ oxybenzone เหนือสิ่งอื่นใด จำไว้ว่าสำหรับดวงตาให้ใช้นิ้วนางเท่านั้นในการทาผิวบริเวณรอบดวงตาความเชื่อผิด ๆ ที่ 7 มาสคาร่าของคุณอาจจะเสีย แต่ไม่ใช่สำหรับครีมบำรุงผิวความจริง : โชคไม่ดีนักที่ครีมบำรุงผิวสำหรับกลางคืนที่คุณวางไว้ในตู้มา 2 ปีแล้ว อาจจะไม่ค่อยให้ผลอะไรกับคุณในตอนนี้ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ในระยะเวลานาน ๆ ส่วนผสมของครีมบำรุงผิวหน้าจะมีคุณภาพต่ำลง ทำให้ไม่ได้ผลดีเหมือนเดิม ยิ่งถ้าผลิตภัณฑ์ค้างนานมากเกินไป อาจจะทำให้ส่งผลในการเกิดแบคทีเรีย “กฎที่ต้องจำไว้ก็คือ ควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าต่าง ๆ ทุก ๆ ปี” ผู้วชาญด้านโรคผิวหนัง เอเรียล คาวาร์ จากนิวยอร์ค กล่าวและตอนนี้ผลิตภัณฑ์บางอย่างมากับป้าย และบอกว่าควรใช้ในเวลากี่เดือน (6 หรือ 12 หรือ 15 เดือน) และเริ่มนับจากเมื่อคุณเปิดมันออกมาใช้ แต่ทำอย่างไรถึงจะจำได้ว่าเริ่มใช้เมื่อไร ให้ใช้ปากกาเขียนวันที่ที่คุณเปิดเอาไว้ใต้ขวด จะช่วยย้อนความจำได้

Donald Duck



Donald Duck is one of the most favorite movie character ever. He has been in over 130 cartoons and his magazines are read all over the world. Together with his nephews, Huey, Dewey and Louie he has all kinds of adventures. As a tribute to the most famous duck in the world and for all the fans around the world, I have tried to make a page to celebrate the world of Ducktown! You can find here lots of colouring pages, pictures, wallpapers and games from Donald Duck, Daisy Duck, Scrooge, Huey, Dewey and Louie and the other characters who live in Ducktown!

One of the most popular of the Disney cartoon characters, Donald Duck made his debut in the Silly Symphony cartoon "The Wise Little Hen" on June 9, 1934. His fiery temper endeared him to audiences, and in the 1940s he surpassed Mickey Mouse in the number of cartoons reaching the theaters. Eventually, there were 128 Donald Duck cartoons, but he also appeared in a number of others with Mickey Mouse, Goofy, and Pluto. His middle name, shown in a wartime cartoon, is Fauntleroy. Clearly, the most significant factor that led to Mickey's super-stardom was his optimistic, cheerful, resilient character -- one very much like Walt's. The original voice of Donald was Clarence "Ducky" Nash, who was succeeded after 50 years by Disney artist Tony Anselmo. A daily Donald Duck newspaper comic strip began on February 7, 1938.

Donald Duck has a good heart and always has good intentions. Well, almost always. Actually, it's his second or third intentions that are the good ones, but by the time they surface Donald's already off and running in the wrong direction. He refuses to let anyone or anything stand in his way. It doesn't matter how much humiliation the world dishes out to him, Donald will take it and come back for more. He's a loser, not a quitter, and he'll go down fighting. This is a duck with one short fuse, and an amazing (if unintelligible) command of language, and when things don't go right, he goes ballistic. Yet after the storm is over and the tantrum is through, when faithful Daisy soothes his brow or his conscience finally catches up with him, even Donald can admit that there must be a better way. If only he could figure out what it is.

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551

รู้หรือไม่ว่าทำไมเข็มทิศจึงหันไปทางทิศเหนือเสมอ?





เข็มทิศ (magnetic compass) คือเครื่องมือสำหรับใช้หาทิศทาง มีเข็มแม่เหล็กที่แกว่งไกวได้อิสระในแนวนอนทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ ตามแรงดึงดูดของแม่เหล็กโลก และที่หน้าปัดมีส่วนแบ่งสำหรับหาทิศทางโดยรอบ เข็มทิศจึงมีปลายชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ (อักษร N หรือ น) เมื่อทราบทิศเหนือแล้วก็ย่อมหาทิศอื่นได้โดยหันหน้าไปทางทิศเหนือ ด้านขวามือเป็นทิศตะวันออก ด้านซ้ายมือเป็นทิศตะวันตก ด้านหลังเป็นทิศใต้ การบอกทิศทางในแผนที่โดยทั่วไป คือการบอกเป็นทิศที่สำคัญ 4 ทิศ คือทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก หรืออาจจะบอกละเอียดเป็น 8,16 หรือ32ทิศก็ได้

Tangüis cotton


In 1901, Peru's cotton industry suffered because of a fungus plague caused by a plant disease known as "Cotton wilt" and " "Fusarium wilt" (Fusarium vasinfectum).[8] The plant disease, which spread throughout Peru, entered the plant by its roots and worked it's way up the stem until the plant was completely dried up. Fermín Tangüis a Puerto Rican agriculturist who lived in Peru, studied some species of the plant that were affected by the disease to a lesser extent and experimented in germination with the seeds of various cotton plants. In 1911, after 10 years of experimenting and failures, Tangüis was able to develop a seed which produced a superior cotton plant resistant to the disease. The seeds produced a plant that had a 40% longer (between 29 mm and 33 mm) and thicker fiber that did not break easily and required little water.[9] The Tangüis cotton, as it became known, is the variety which is preferred by the Peruvian national textile industry. It constituted 75 percent of all the Peruvian cotton production, both for domestic use and apparel exports. The Tangüis cotton crop was estimated at 225,000 bales that year

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

history of cotton







Cotton was cultivated by the inhabitants of the Indus Valley Civilization by the 5th millennium BCE - 4th millennium BCE.[2] The Indus cotton industry was well developed and some methods used in cotton spinning and fabrication continued to be used till the modern Industrialization of India.[3] Well before the Common Era the use of cotton textiles had spread from India to the Mediterranean and beyond.[4]
According to The Columbia Encyclopedia, Sixth Edition:
[5]
"Cotton has been spun, woven, and dyed since prehistoric times. It clothed the people of ancient India, Egypt, and
China. Hundreds of years before the Christian era cotton textiles were woven in India with matchless skill, and their use spread to the Mediterranean countries. In the 1st cent. Arab traders brought fine muslin and calico to Italy and Spain. The Moors introduced the cultivation of cotton into Spain in the 9th cent. Fustians and dimities were woven there and in the 14th cent. in Venice and Milan, at first with a linen warp. Little cotton cloth was imported to England before the 15th cent., although small amounts were obtained chiefly for candlewicks. By the 17th cent. the East India Company was bringing rare fabrics from India. Native Americans skillfully spun and wove cotton into fine garments and dyed tapestries. Cotton fabrics found in Peruvian tombs are said to belong to a pre-Inca culture. In color and texture the ancient Peruvian and Mexican textiles resemble those found in Egyptian tombs."
The earliest cultivation of cotton discovered thus far in the Americas occurred in Mexico, some 5,000 years ago. The indigenous species was
Gossypium hirsutum which is today the most widely planted species of cotton in the world, constituting about 90% of all production worldwide. The greatest diversity of wild cotton species is found in Mexico, followed by Australia and Africa.[6]
In
Peru, cultivation of the indigenous cotton species Gossypium barbadense was the backbone of the development of coastal cultures such as the Norte Chico, Moche and Nazca. Cotton was grown upriver, made into nets and traded with fishing villages along the coast for large supplies of fish. The Spanish who came to Mexico in the early 1500s found the people growing cotton and wearing clothing made of it.
During the late
medieval period, cotton became known as an imported fiber in northern Europe, without any knowledge of how it was derived, other than that it was a plant; noting its similarities to wool, people in the region could only imagine that cotton must be produced by plant-borne sheep. John Mandeville, writing in 1350, stated as fact the now-preposterous belief: "There grew there [India] a wonderful tree which bore tiny lambs on the endes of its branches. These branches were so pliable that they bent down to allow the lambs to feed when they are hungrie." (See Vegetable Lamb of Tartary.) This aspect is retained in the name for cotton in many European languages, such as German Baumwolle, which translates as "tree wool" (Baum means "tree"; Wolle means "wool"). By the end of the 16th century, cotton was cultivated throughout the warmer regions in Asia and the Americas.



India's cotton-processing sector gradually declined during British expansion in India and the establishment of colonial rule during the late 18th and early 19th centuries. This was largely due to the East India Company's de-industrialization of India, which forced the closing of cotton processing and manufacturing workshops in India, to ensure that Indian markets supplied only raw materials and were obliged to purchase manufactured textiles from Britain.
The advent of the
Industrial Revolution in Britain provided a great boost to cotton manufacture, as textiles emerged as Britain's leading export. In 1738 Lewis Paul and John Wyatt, of Birmingham England, patented the Roller Spinning machine, and the flyer-and-bobbin system for drawing cotton to a more even thickness using two sets of rollers that traveled at different speeds. Later, the invention of the spinning jenny in 1764 and Richard Arkwright's spinning frame (based on the Roller Spinning Machine) in 1769 enabled British weavers to produce cotton yarn and cloth at much higher rates. From the late eighteenth century onwards, the British city of Manchester acquired the nickname "cottonopolis" due to the cotton industry's omnipresence within the city, and Manchester's role as the heart of the global cotton trade. Production capacity was further improved by the invention of the cotton gin by Eli Whitney in 1793. Improving technology and increasing control of world markets allowed British traders to develop a commercial chain in which raw cotton fibers were (at first) purchased from colonial plantations, processed into cotton cloth in the mills of Lancashire, and then re-exported on British ships to captive colonial markets in West Africa, India, and China (via Shanghai and Hong Kong).
By the
1840s, India was no longer capable of supplying the vast quantities of cotton fibers needed by mechanised British factories, while shipping bulky, low-price cotton from India to Britain was time-consuming and expensive. This, coupled with the emergence of American cotton as a superior type (due to the longer, stronger fibers of the two domesticated native American species, Gossypium hirsutum and Gossypium barbadense), encouraged British traders to purchase cotton from plantations in the United States and the Caribbean. This was also much cheaper as it was produced by unpaid slaves. By the mid 19th century, "King Cotton" had become the backbone of the southern American economy. In the United States, cultivating and harvesting cotton became the leading occupation of slaves.
During the
American Civil War, American cotton exports slumped due to a Union blockade on Southern ports, also because of a strategic decision by the Confederate Government to cut exports, hoping to force Britain to recognize the Confederacy or enter the war, prompting the main purchasers of cotton, Britain and France, to turn to Egyptian cotton. British and French traders invested heavily in cotton plantations and the Egyptian government of Viceroy Isma'il took out substantial loans from European bankers and stock exchanges. After the American Civil War ended in 1865, British and French traders abandoned Egyptian cotton and returned to cheap American exports, sending Egypt into a deficit spiral that led to the country declaring bankruptcy in 1876, a key factor behind Egypt's annexation by the British Empire in 1882.



cotton


Cotton is a soft, staple fiber that grows around the seeds of the cotton plant (Gossypium sp.), a shrub native to tropical and subtropical regions around the world, including the Americas, India and Africa. The fiber most often is spun into yarn or thread and used to make a soft, breathable textile, which is the most widely used natural-fiber cloth in clothing today. The English name which began to be used circa 1400, derives from the Arabic (al) qutn قُطْن, meaning cotton.[1] In the 19th and early 20th centuries, cotton was known as "King Cotton" because of the great economic and cultural influence it had over the Southern United States.
Cotton fiber, once it has been processed to remove seeds (ginning) and traces of honeydew (a secretion from aphids), protein, vegetable matter, and other impurities, consists of nearly pure
cellulose, a natural polymer. Cotton production is very efficient, in the sense that only ten percent or less of the weight is lost in subsequent processing to convert the raw cotton bolls (seed coat) into pure fiber. The cellulose is arranged in a way that gives cotton fibers a high degree of strength, durability, and absorbency. Each fiber is made up of twenty to thirty layers of cellulose coiled in a neat series of natural springs. When the cotton boll is opened, the fibers dry into flat, twisted, ribbon-like shapes and become kinked together and interlocked. This interlocked form is ideal for spinning into a fine yarn.