วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

ศัพท์น่ารู้จากประเด็นการเมือง

Petition (n.) อ่านว่า เพอะ-ทิ-ชั่น แปลว่า ฎีกา
Ex. The United Front for Democracy against Dictatorship (UDD) submitted the petition seeking a royal pardon for fugitive former prime minister Thaksin Shinawatra to the Office of His Majesty's Principal Private Secretary on 17 August.
แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ได้ยื่นฎีกาต่อสำนักเลขาธิการ สำนักพระราชวังเมื่อวันที่17ส.ค. เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกำหลังหลบหนีอยู่





เกร็ดความรู้ : คำว่า petition ไม่ได้แปลว่า ฎีกา อย่างเดียวนะจ๊ะ แต่ยังใช้ในความหมายของ คำร้อง ได้ด้วย เช่น ในกรณีการยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือยื่นคำร้องต่อศาลก็ได้นะจ๊ะ

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มาเฉลยข้อสอบ GAT กัน

อ่า.... หลังจากที่สอบแกทกันไปแล้ว เพื่อนๆมาช่วยกันเฉลยข้อสอบแกทกันดีกว่า เริ่มต้นจากที่เราจำได้ก่อนนะ



อันไหนไม่เข้าพวก
1 .a. practical b. absurd c. feasible d. possible

ตอบไรกันบ้างเอ่ย.....

เฉลย ข้อ b นะ
absurd[ADJ] ไร้สาระ
practical [ADJ] ที่ขึ้นอยู่กับความเป็นจริง,ใช้ได้จริง
feasible [ADJ] ซึ่งเป็นไปได้
possible [ADJ] เป็นไปได้

อ่า.. เป็นไงกันบ้างข้อแรกทำถูกกันมั๊ยเอ่ย

2. a. complete b. through c.inclusive d. comprehensive

ติ๊กต็อกๆๆๆ ......................ปิ๊งงง

เฉลย ข้อ b ค่ะ (ใครที่วันศุกร์ได้ที่คำศัพท์ที่เราทำแจก ต้องดีใจแน่ๆเลย ออกตรงเป๊ะ555+)
through [PREP/ADV] ผ่านไป
complete [ADJ] ทั้งหมด
inclusive [ADJ] รวมด้วย Related. ครอบคลุม, กินวงกว้าง, รวมทุกอย่าง, ทั้งหมด
comprehensive [ADJ] ที่ครอบคลุม

3. a. lenient b. strict c. supple d. yielding

1 2 3 ............10

เฉลย ข้อ b ค้าบพี่น้องงงงง (น่าจะเป็นข้อนี้นะ ดูความหมายโดยรวมๆเอา แต่ก็นะข้อนี้ยากอยู่ อยากฆ่า สทศ. อ๊ากกกกกก)
strict [ADJ] เข้มงวด
lenient [ADJ] ปรานี
supple [ADJ] ยอมตาม /ปรับตัวได้ง่าย
yielding [ADJ] ยินยอม

4. a. determined b. persistent c. exultant d. tenacious

คิดๆๆๆๆๆๆ .................

เฉลย ข้อ c จ้า........ [อยากบอกว่าข้อนี้ยากกกก เพราะหยีเคยเจอศัพท์ แค่2ตัวในนี้ สงสัยคนออกต้องคิดว่าเราเปนคนเขียนดิกแน่ๆ 55]

exultant [ADJ] ปิติยินดี
determined [ADJ] ดื้อดึง /เด็ดเดี่ยว
persistent [ADJ] ดื้อ
tenacious [ADJ] ที่ไม่ยอมง่ายๆ


5. a. rest b. relax c. uptight d. unwind

...........................................

เฉลย ข้อ c ค่ะ [ข้อนี้ง่ายสุดและเท่าที่ทำมา]

ไม่ต้องขิ้นมากเลย uptight= ตึงเครียด
ส่วนคำอื่นก็แปลว่าพักผ่อน นะจ๊ะ

อ่าๆๆ แล้วมาเช็คคะแนนกันซิ ว่าตอนนี้ได้เท่าไหร่เเล้ว (เราเฉลยเอง นะจ๊ะ ผิดพลาดไงก็ช่วยบอกด้วยนะ)





*****อ่า............เราก้อเป็นเพียงแค่เดก ม.6 คนนึงเรารู้ว่าเรา ไม่ได้เก่งไรเลย เราไม่ได้อวดเก่งหรืออวดรู้ เราต้องการกำลังใจ ไม่ใช่การดูถูก
หยุดเถอะนะคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเรา
ถือซะว่า สงสารคนๆนึงเถอะนะ

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

About Asia University



Founding Principles and Mission




Asia University fosters a spirit of self-help and cooperation. These ideals were first proposed by the university's founder, Kozo Ota, who wrote the following in his Our Founding Principles--Cultivating the Spirit of Self-Help and Cooperation :The spirit of 'self-help,' the inspiration behind the establishment of this institution, encourages individuals to achieve personal autonomy, and to look to themselves as the greatest source of aid. Individuals must carve out their fate by virtue of their own efforts. . . . It is said that the flower of cooperation grows from the root of self-help.




Since its establishment in 1941, Asia University has, as its mission, extended this spirit of self-help and cooperation into the international community. As stipulated in article one of the Asia University School Regulations, "The mission of this institution is to nurture minds capable of achieving an integrated Asia, with priority being placed on conducting research and taking constructive action relating to Asian culture and society." The university has remained true to this mission by providing the finest educational programs possible for its students so that upon graduation they may make a positive contribution to Japanese society, to the development of Asia and to the greater international community. The recent surge of growth in Asia is eloquent testimony to the foresight of the university's ideals.



Origins and History


In 1941, Koa Senmon Gakko--Koa Professional School opened its doors on the site of the present Asia University campus. The school was founded with the underlying belief that education should be based on a spiritual closeness between teachers and students. It was a unique school at the time, as it accommodated all students in dormitories divided by course of study (Continental Asia, Southern Pacific Islands and the Homeland). In the same year, the Koa Educational Foundation was established with the aim of contributing to Asian nations


In 1945, following the end of WWII, Kozo Ota was appointed president, and the institution made a new beginning as Nihon Keizai Senmon Gakko--Professional School of Japanese Economics. In 1950, as Japan experienced educational reforms, the institution was reorganized again as Nihon Junior College of Economics. For a number of years after WWII, relations with other Asian countries were almost nonexistent. Thus, in 1954, a Foreign Student Department was established within the college in an attempt to resume relations with other Asian countries. Consequently, Nihon Junior College of Economics became the first college in post-war Japan to accept a substantial number of foreign students


Finally, in 1955, Asia University was established with a single department, the Faculty of Commerce. As the result of subsequent expansion and reorganization, the university is now comprised of four faculties: the Faculty of Business Administration, the Faculty of Economics, the Faculty of Law, and the Faculty of International Relations. Graduate schools offering Master's degrees in Economics, Business Administration and Law were established in 1974 followed by doctoral programs in 1976. Asia University Junior College, the former Nihon Junior College of Economics, still maintains a business studies program.



วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ศาสนาอียิปต์โบราณ

วันนี้เรากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ แล้วเราก็อ่านของ อ.ศศิพรรณ มันมีศาสนาหนึ่งที่ตายไปแล้ว คือ ศาสนาอิยิปต์โบราณ <ต๊ายย เพิ่งรุว่ามี>
เราก็เลยหาในเน็ตดูแล้วเอามาฝากเพื่อนๆ

ศาสนาอียิปต์โบราณศาสนาอียิปต์โบราณถือกำเนิดขึ้นในแผ่นดินที่เรียกว่าอียิปต์ หรือ ไอยคุปต์ สมัยโบราณ ซึ่งตั้งอยู่บนทวีปอาฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ มีเนื้อที่ทั้งหมดเมื่อ 7,000ปี ไม่กว้างใหญ่มากนัก ยาวไปตามลำน้ำไนล์ ในปัจุบันอียิปต์มีเนื้อที่ 383,000 ตารางไมล์ ทิศเหนือติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออก ติดทะเลแดง ทิศตะวันตกและทิศใต้มีทะเลทรายเป็นขอบเขต มีทางติดต่อกับทวีปเอเชียโดยอาศัยคลองสุเอซเป็นแนวสะพานจากชนกลุ่มต่างๆที่มารวมตัวกันตามลุ่มน้ำไนล์ ซึ่งแต่เดิมนั้นชนกลุ่มต่างๆนี้ไม่มีความรู้ในเรื่องภูมิศาสตร์ ไม่มีใครรู้ว่าลำน้ำสายนี้เกิดมาได้อย่างไร ไหลมาจากที่ไหน เพราะอะไรจึงให้ผลแก่ชาวไร่ เพราะอะไรจึงไหลบ่า ท่วมท้น จนเกิดความเสียหายล้มตาย ความไม่รู้เหล่านี้เอง จึงกลายเป็นบ่อเกิดแห่งศาสนาและศรัทธา

คติแห่งศรัทธา M.Marittite นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส อ้างผลการสำรวจของ Herodotus ผู้เป็นปราชญ์ในสมัยกรีกโบราณ ไว้ในบันทึกของตนว่า...การนับถือศาสนาของอียิปต์โบราณนั้นสามารถแบ่งประเภทแห่งศรัทธาให้ศึกษาได้ดังนี้...
1. การนับถือสัตว์เป็นพระเจ้า
2. การนับถือดวงวิญญาณ
3. ศพอาบยา และ มรณะคัมภีร์
4. พิธีกรรมและนักบวช
5. หมวดหมู่ ของเทพเจ้า
6. อิทธิพลของศาสนา

การนับถือ สัตว์เป็นพระเจ้า

จะเห็นได้ว่าตามหัวเมืองใหญ่ๆ จะมีรูปปั้นสัตว์นานาชนิด ประดิษฐานอยู่ตามเทวสถานและประตูเมือง เป็นรูปเคารพอย่างหนึ่ง นับเป็นหนึ่งในจำนวนเทพประจำหัวเมือง ทั้งนี้เนื่องจากว่าสัตว์แต่ละประเภทมีความสำคัญในตัวของมันเอง สามารถทำประโยชน์แก่มนุษย์

ความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์กับมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์มีฐานะเป็นเทพเจ้า มีปรากฏดังนี้

- นับถือโดยคุณลักษณะ เช่น สุนัขมีความซื่อสัตย์ต่อมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของ, นกเหยี่ยวที่บินอยู่ในอากาศ มีความอาจหาญในการโฉบเฉี่ยวอาหาร, แม่โค มีหน้าที่รับใช้ในเวลาปลูกพืชและให้นมแก่ผู้เยาว์วัยจึงเป็นตัวแทนของความอดทนและความกรุณาปรานี, แมลงทับซึ่งมีอยู่มากตามต้นปาปิรุสที่ขึ้นริมฝั่งแม่น้ำไนล์มีความขยันหมั่นเพียรในการสร้างที่อยู่ จึงเป็นตัวแทนของความเจริญ

*** แมลงทับ....มีปีกเป็นสีเหลือบทอง และมักเกาะกินตามต้นปาปิรุส ซึ่งชาวอียิปต์เอามาใช้เป็นกระดาษเขียนหนังสือ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโลก ในสมัยอียิปต์โบราณแมลงทับ เป็นสัตว์ประหลาด เนื่องจากสีเหลือบทองของปีกแมลงทับ ทำให้เวลาดูจากมุมมองต่างๆกันจะเห็นเป็นแมลงทับมีสีที่ต่างกัน บางทีก็สีทอง บ้างก็สีเขียว และจากความไม่รู้มูลเหตุที่มาของสีที่ต่างกันของแมลงทับ ชาวอียิปต์จึงอาศัยความไม่รู้นั้นกำหนดว่าแมลงทับเป็นสัตว์วิเศษและเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งความวิเศษของแมลงทับที่สำคัญที่สุดคือ เป็นสัตว์ที่สร้างที่อยู่อาศัยโดยการใช้ปีกขนเอาดินมาทีละน้อย จนเป็นรังใหญ่ ชาวอียิปต์โบราณจึงถือว่าแมลงทับเป็นสัตว์น่าเคารพ เพราะเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่สร้างโลก คติเรื่องการสร้างโลกจึงกำเนิดขึ้นโดยอาศัยแมลงทับ....

***ว่ากันเรื่องการสร้างโลก ความคิดของชาวอียิปต์เองก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้ แต่ที่เชื่อกันเป็นส่วนมากคือ เชื่อว่า เดิมนั้นจักรวาลเป็นที่มืด เป็นมหาสมุทร มีแต่น้ำ ต่อมาก็มีดอกบัวหลวงดอกหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นจากบัวหลวงดอกนั้น แล้วลอยขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า และดอกบัวดอกนั้นกลายเป็นโลก

- สัตว์ประเภทต่างๆสมัยอียิปต์โบราณ ทำประโยชน์ให้มนุษย์มาก ทั้งในยามสงบ และยามสงคราม เมื่อกษัตริย์เสด็จออกศึก ก็จะทรงเลือกเอาสัตว์ที่เป็นกำลังในสงครามไปด้วย เช่น ม้า สิงโต เมื่อชนะศึกกลับมาก็จะทำพิธีบูชา...สุดแต่สัตว์นั้นไปทำความดีอะไรให้ มนุษย์ก็ยอกกราบไหว้สัตว์นั้น ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า ชาวอียิปต์โบราณเป็นชาติที่รู้จักบุญคุณของสัตว์ และเป็นเครื่องแสดงใด้ว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างเทพเจ้า มิใช่เทพเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์

จากการขุดค้นของนักโบราณคดี ที่ห้องเก็บศพของกษัตริย์ พบภาพต่างๆที่อยู่ตามผนังปีรามิด ซึ่งสลักบนแผ่นหิน มี่รูปสัตว์ต่างๆ เช่น นกเหยี่ยว, สุนัข แม่โค สัตว์เหล่านี้มีนิยายที่เกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องดวงวิญญาณ ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป...

- เทพเจ้าต่างๆเป็นเพียงปรากฏการณ์ซึ่งสมมุติในความคิด ที่จริงปราศจากรูปร่าง แต่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า หากเทพเจ้าไม่ได้อวตารลงมาในร่างใดร่างหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดซึ่งเป็นรูปให้ยึดถือกราบไหว้ได้ แต่รูปอะไรก็ไม่ดีเท่ารูปที่เห็นกันอยู่ ดังนั้น ชาวอียิปต์จึงตั้งสัตว์ที่มีคุณแก่มนุษย์ก็ดี สัตว์ที่มีความสามารถหรืออำนาจในตัวมันเองก็ดี เป็นรูปแห่งการอวตารของเทพเจ้า

**ข้อนี้ ชวนให้ระลึกถึงหลักจิตวิทยาที่ว่า...มนุษย์จะได้ความรู้สึกครั้งแรกจากสายตา และมีความพอใจเมื่อมีรูปมาสัมผัสทางกาย ยิ่งกว่าการสัมผัสทางใจ

การนับถือสัตว์เป็นร่างอวตาร ได้ก้าวหน้ามาเป็นลำดับจนกระทั่งเมื่อกษัตริย์ Menes ได้รวมอียิปต์บนและ อียิปต์ล่างเป็นดินแดนเดียวกัน และตั้งเมือง Memphis เป็นเมืองหลวง และยกมหาเทพ.... Ptah หรือ Amenra (เทพแห่งดวงอาทิตย์) เป็นมหาเทพแห่งอียิปต์

พระเจ้า Menes ทรงจัดการปกครองใหม่ พร้อมกับจัดระเบียบการนับถือเทพเจ้าใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งเหยิงทางศาสนาเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งเหยิงทางบ้านเมือง โดยการจัดระเบียบการนับถือเทพเจ้าใหม่นี้.... พระเจ้า Menes ว่าทรงบัญญัติใหม่ว่า...แต่เดิมบรรดาเทพเจ้าที่เคยอวตารสถิตย์ในร่างของสัตว์นั้น ..สมควรให้อวตารลงมาในรูปคนกันเสียที ตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา เทพเจ้าของอียิปต์จึงเป็นคนมากกว่าสัตว์ บ้างมีตัวเป็นคนหัวเป็นสัตว์ก็มี บ้างก็มีตัวเป็นสัตว์หัวเป็นคนก็มี

สัตว์ประเภทต่างๆที่ชาวอียิปต์นับถือเป็นเทพเจ้ามีอยู่เกือบ 100 ชนิด ส่วนมากเป็นสัตว์น้ำและสัตว์ป่า มีการออกกฎหมายห้ามชาวประมงและนักล่าสัตว์ฆ่าสัตว์หลายชนิด ถ้าใครฆ่าสัตว์ที่มีค่า ที่มีการขึ้นบัญชีว่าเป็นอวตารของเทพเจ้า ก็จะมีโทษถึงประหารชีวิต สัตว์ที่ได้รับการเคารพบูชามากที่สุดได้แก่ แม่โค ซึ่งได้รับความนับถือว่าเป็นอวตารของพระนาง Isis ส่วนพ่อโค เป็นอวตารของ Osiris

รูปของ Isis และ Osiris นั้นบนศีรษะจะเป็นรูปดวงอาทิตย์ ขึ้นในระหว่างภูเขา ซึ่งสมมติ เป็นรูปเขาโคทั้ง 2 ข้าง ที่หน้าผากมีจุดขาว ขนดำสนิทเรียกว่า Abis จากรูปซึ่งแสดงนี้ โคจึงเป็นเครื่องหมายของดวงอาทิตย์ด้วย

ต่อมา มีการนับถือพ่อโค แม่โค ว่าแทนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ กล่าวคือ พ่อโค คือตัวแทนของ Osiris เสมือนดวงอาทิตย์ที่ให้ความสว่างในตอนกลางวัน ส่วนแม่โค คือตัวแทนของ Isis เปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่ให้ความสว่างในเวลากลางคืน (ซึ่งถ้าดูจากเทพนิยายแล้ว Isis และ Osiris เป็นกษัตริย์ สามี-ภรรยาที่ต้องพลัดพรากจากกัน เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ )

จากการขุดค้นของนักโบราณคดี เมื่อ คศ.1852 พบซากเมืองเมมฟิส และได้พบรูปปั้นโคเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่า โคได้รับการยกย่องเป็นเทพเจ้าชั้นสูง ประจำเมืองเมมฟิส ซึ่งนับเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ

สัตว์ประเภทใด ถ้ามีผู้รับนับถือว่า ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในเมืองใด ก็จะมี อำนาจขอบเขตอยู่ในเมืองนั้น ไม่ปะปนกัน สัตว์ทุกประเภทที่ชาวอียิปต์เชื่อว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ก็มีความศักดิ์สิทธิ์จริง เท่ากับเทพเจ้า หรือคนสำคัญคนหนึ่ง โดยหลักแห่งศรัทธาของชาวอียิปต์โบราณ เชื่อว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้มีวิญญาณที่ไม่ดับสูญเช่นเดียวกับคน ดังนั้นเมื่อสัตว์นั้นตายลง คนที่นับถือสัตว์ จึงทำมัมมี่สัตว์ไว้เช่นเดียวกับมัมมี่คน ถ้าไม่ทำเป็นมัมมี่ ก็มักทำเป็นรูปปั้นสัตว์นั้น ใส่ลงในหีบสลักหิน ฝังไว้ในอุโมงค์เช่นเดียวกับคน จากการขุดค้นของนักโบราณคดี ตามหัวเมืองต่างๆ มีการพบรูปปั้น สัตว์ในหีบสลักหิน และมัมมี่สัตว์ชนิดต่างๆ เช่น แพะ สุนัข นก จระเข้ แมว โค งู แมลงทับ ฯลฯ

สรุปแล้วการนับถือสัตว์เป็นเทพเจ้า เพราะชาวอียิปต์มีศรัทธาในคุณลักษณะความดี ความกล้าหาญของสัตว์ และมีความกตัญญู ต่อสัตว์ที่ทำประโยชน์ให้แก่ตนด้วย ชาวอียิปต์ก็คือคนที่มีความกลัวต่อความลึกลับที่ตนไม่สามารถหาต้นสายปลายเหตุได้ เช่นเดียวกับคนโบราณทั้งปวง


เครดิต http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=mysmallroom&date=17-07-2006&group=5&gblog=3

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

you are not alone

Michael Joseph Jackson "King of pop"[August 29th,1958-June 25,2009]

''You are not alone''

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Vamos a estudier Castellano มาเรียนภาษาเสปนกันเหอะ

วันนี้ มาเรียนภาษาเสปนกันดีกว่า
ดีมั้ย
[ ทุกคนตอบว่า ดี! ]
ขอบคุณ
*
*
*
หมายเหตุ
Espanol (เอสปาลญ่อล ที่จริง n = เอญเญ่) เป็นภาษาเสปนแท้
แต่
คนอาร์เจนติน่าเรียกภาษาเสปนที่ตัวเองใช้ว่าCastellano (กาสเตช้าโน่)
คำแรก
Hola
ไม่ได้อ่านว่า โฮ - ล่า
แต่ อ่านว่า โอ๊-หล่า
เพราะ ตัว H (อาช เช่)ในภาษาเสปนไม่ออกเสียง
คำนี้ แปลว่า สวัสดี
Como estas
โก๊-โม่ เอส-ตัส
แปลว่า เป็นอย่างไรบ้าง/สบายดีไหม ?
ตัว C (เซ)กับสระ A,O,Uจะออกเสียง กา โก กู
แต่ถ้า อยู่กับ E และ I จะออกเสียง เซ ซิ
ส่วนตัว T (เต) จะออกเสียงเป็น ต.เต่าเสมอ
Bien
เบียน
แปลว่า ดี / สบายดี
*******************************
MUY
มุ๊ย
แปลว่ามาก
************************************
ถ้าจะบอกว่า ดีมาก
ก็ต้องบอกว่า Muy + Bien = Muy Bien
อ่านว่า มุ๊ย เบียน
**************************************
แต่ถ้าไม่สบาย
ต้องบอกว่า No estoy Bien
อ่านว่า โน เอสตอย เบียน
estoy แปลว่า กำลังเป็นอยู่
Mas o Menos
อ่านว่า มาส โอ เมโนส
แปลว่า เฉยๆ / soso
Mas แปลว่ามาก หรือ บวก
o แปลว่า หรือ
Menos แปลว่า น้อย หรือ ลบ
เมื่อพูดคำนี้ คนอาร์เจนติน่าจะ พลิกมือกลับไปกลับมา ไปด้วย
Gracias
อ่านว่า กร๊า เซียส
แปลว่า ขอบคุณ
ตัว G (เค) เมื่ออยู่กับ A,O,U จะอ่านเป็น กา โก กู
แต่ถ้าอยู่กับ E,I จะอ่านเป็น เค คิ
Y Vos? / Y Tu?
อ่านว่า อีโบส (castellano)
หรือ อีตู๊ (espanol)
แปลว่า แล้วคุณล่ะ
y (อีเกรียกร้า) อ่านว่า อี
แปลว่า และ / แล้ว
Tu / Vos แปลว่า คุณ
ขี้เกียดเขียนแล้วเอาไว้จะมาเขียนใหม่นะ

ภาษาสเปน

ภาษาสเปนนับว่าเป็นอีกหนึ่งในภาษาที่สำคัญและมีประวัติเก่าแก่ภาษาหนึ่งของโลก โดยยูเอ็นจัดให้เป็นหนึ่งในห้าภาษาราชการของโลก(อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อาราบิค, จีน และสเปน) และยังถูกจัดให้เป็นภาษาที่มีอิทธิพลเป็นอันดับสามของโลกรองจาก ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสอีกด้วย
รากภาษาสเปนมาจากภาษาละติน โดยเมื่อหลายพันปีมาแล้วภาษาละตินเริ่มมีใช้กันเฉพาะในกลุ่มราชวงของชาวโรมัน จากนั้นจึงเริ่มใช้กันในกลุ่มทหาร นักเดินเรือ และพ่อค้าที่มาติดต่อกันอาณาจักรโรมันจนมาถึงคนทั่วไป ต่อมาในช่วงที่อาณาจักรโรมันกำลังแพร่ขยายอำนาจ ชาวโรมันจึงได้นำภาษาละตินเข้ามาใช้เป็นภาษาราชการ ทำให้ทางยุโรปตะวันตกล้วนพูดภาษาละตินทั้งสิ้น ต่อมาเมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมสลายลงในช่วงศตวรรษที่5 ทำให้ภาษาละตินซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันมาในยุโรปตะวันตกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยสำเนียง และคำพูดจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ จนในที่สุดในช่วงศตวรรษที่15 สำเนียงและคำศัพท์ต่างๆจึงได้กลายมาเป็นภาษาสำคัญสามภาษา นั่นคือ Spanish, Portugal และ French
โดยภาษาสเปนนั้น เริ่มมีการจดบันทึกเอาไว้ก่อนเป็นภาษาแรก ทำให้ต่อๆมาจึงได้นำภาษาเสปนมาประยุกต์ใช้จนกลายมาเป็นภาษาโปรตุเกส และฝรั่งเศสตามลำดับ น่าสนใจมั้ยล่ะงั้นมาลองฝึกพูดดูมั้ย?
Hola! (โอ๊ะลา!) แปลว่าสวัสดี
ส่วนคำนี้ te quiero mucho (เต ไกวโร มูโช) แปลว่า ฉันรักเธอ เอาไว้ไปพูดเทห์ๆกับคนที่คุณรักนะค่ะ